วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พระรัตนตรัย



พระรัตนตรัย

องค์ประกอบของพระรัตนตรัย
             

พระรัตนตรัย  หมายถึง   ดวงแก้วอันประเสริฐ 3 ประการ ซึ่งถือเป็นดวงมณีอันล้ำค่าของชาวพุทธ  เป็นหลักที่เคารพบูชาสูงสุดของพุทธศาสนิกชนรวมทั้งยังเป็นโครงสร้างสำคัญของพระพุทธศาสนา  ได้แก่   
1. พระพุทธเจ้า  เป็นผู้ที่ตรัสรู้เองและสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม
2. พระธรรม   คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักความจริงที่นำมาเป็นหลักความประพฤติ 
3. พระสงฆ์  คือ หมู่สาวกผู้ปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า


คุณของพระรัตนตรัย
1. คุณของพระพุทธเจ้า
      
พระปัญญาคุณ (ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง)   พระบริสุทธิคุณ (ปราศจากกิเลส)   พระกรุณาคุณ (มีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก)

2. คุณของพระธรรม        
 พระธรรมย่อมรัษาผู้ปฎิบัติไม่ให้ตกไปสู่ความชั่ว    พระธรรมเป็นสัจธรรมให้ผลแก่ผู้ปฎิบัติตามที่ปฎิบัติ

3. คุณของพระสงฆ์        
เป็นผู้ปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และสอนให้ผู้อื่นกระทำตาม     เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา

ศรัทธา 4 
ศรัทธา 4  หมายถึง  ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล  ซึ่งมีอยู่สี่ประการ ดังนี้

1. กัมมสัทธา  
เชื่อว่าเมื่อเราทำอะไรโดยมีเจตนาหรือมีความจงใจที่ดีหรือไม่ดี  ย่อมเกิดกรรมดีหรือกรรมชั่วตามเจตนา  และเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผลดีหรือผลร้ายสืบเนื่องตามมา

2. วิปากสัทธา  
เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง  คือ  เชื่อว่าการกระทำที่สำเร็จลงไปต้องมีผล  และย่อมต้องมาจากเหตุ  ผลที่ดีเกิดจากการกระทำที่ดีและผลชั่วร้ายเกิดจากการกระทำไม่ดี

3.กัมมัสสกตาสัทธา  
เชื่อว่าสัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน  คือเชื่อว่าคนแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบหรือเสวยวิบากกรรมที่ตนเองทำไว้เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า
  "กรรมใด   ใครก่อ
กรรมนั้น    ย่อมสนอง"

4. ตถาคตโพธิสัทธา  
เชื่อว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นจริง คือมีความเชื่อในพระคุณทั้ง 9 ประการของพระพุทธองค์   ตรัสธรรม  และบัญญัติพระธรรมวินัยไว้ดีแล้ว  ทรงแสดงให้เห็นว่า  มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงความจริงอันประเสริฐได้ด้วยการฝึกตนด้วยดี

พุทธจริยา  3 พุทธจริยา   หมายถึง  การทรงบำเพ็ญประโยชน์ของพระพุทธเจ้า  มีอยู่ สามประการได้แก่
1. โลกัตถจริยา  เป็นการบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลก ซึ่งเป็นการที่พระพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์แก่ชาวโลกโดยแสดงออกในพุทธกิจประจำวัน ได้แก่
ช่วงเช้า    เสด็จออกบิณฑบาตเพื่อโปรดสัตว์ (คนที่สมควรจะแสดงธรรมให้ฟัง)
ช่วงเย็น    ทรงแสดงธรรมแก่อุบาสก   อุบาสิกาที่มาเฝ้า
ช่วงค่ำ     ประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ
ช่วงเที่ยงคืน     ทรงตอบปัญหาของเทวดาหรือข้าราชการผู้ใหญ่  และพระราชา
ช่วงเช้ามืด  ทรงตรวจพิจารณาว่า ผู้ใดมีอุปนิสัยที่บรรลุธรรมได้  เพื่อเสด็จไปโปรดในตอนเช้า

2. ญาตัตถจริยา
เป็นการบำเพ็ญประโยชน์แก่ญาติตามฐานะ  เช่นเสด็จไปห้ามญาติที่ทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องน้ำ

3. พุทธัตถจริยา  
เป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตามหน้าที่ของพระพุทธเจ้า  เช่น  ทรงแสดงธรรมแก่เวไนยสัตว์    ทรงบัญญัติวินัยขึ้นเพื่อบริหารหมู่คณะ   ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนมาตราบเท่าทุกวันนี้

อริยสัจ  4อริยสัจ   หมายถึง   ความจริงอันประเสริฐ  ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นพระอริยะมี  4 ได้แก่
1. ทุกข์  หมานถึง  ความทุกข์   สภาพที่ทนได้ยาก   สภาวะบีบคั้นขัดแย้ง  บกพร่อง  เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ไม่ขึ้นต่อตัวมันเอง  ได้แก่
ความเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย     ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก     ความประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบ      ความปรารถนาแล้วไม่สมหวัง   สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์     ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรานี้ เนื่องจากเรามีความอยาก   มีความต้องการ  และยึดถือในสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  เมื่อไม่เป็นไปตามความต้องการจึงเกิดความทุกข์  และมีความทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้ถ้าเราไม่รู้จักแก้ปัญหาให้ถูกต้อง  ก็จะเกิดผลเสียแก่ตัวเราได้

2.สมุทัย  
สมุทัย  หมายถึง  สาเหตุของความทุกข์ต่างๆ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า  "เมื่อสิ่งนี้มี  สิ่งนี้จึงมี เพราะนั้นเกิด  สิ่งนี้จึงเกิด"  หมายความว่า  ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับคนเรา  ย่อมมีสาเหตุแห่งทุกข์นั้น เช่น อยากได้ของแพง  แต่ไม่มีเงินซื้อ
อยากเป็นคนรวย  แต่มีฐานะยากจน   ไม่อยากเป็นคนพิการ  แต่เกิดมามีร่างกายพิการ   สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์   สาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ต่างๆเหล่านี้ เรียกว่า  ตัญหาหมายถึง ความต้องการ  ความอยาก  (อยากได้   อยากมี  อยากเป็น และอยากที่จะไม่เป็น)

3.นิโรธนิโรธ  หมายถึง  ความดับทุกข์   ได้แก่ภาวะตัณหาดับสิ้นไปไม่ติดข้องอยู่ในตัณหา  หลุดพ้น  สงบ และเป็นอิสระ  ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า นิพพาน  แต่การที่คนเราจะเข้าถึงนิพพานได้นั้น  ต้องอบรมกายและจิตให้ค่อยๆลดความต้องการหรือตัณหาลงไป ก็จะช่วยให้ความทุกข์บรรเทาลงไปบ้าง

4. มรรคมรรค  หมายถึง  ข้อปฎิบัติให้ถึงความดับทุกข์  มีอยู่  8  ประการ  เรียกว่าทางสายกลาง  
1. เห็นชอบ    
2.  ดำริชอบ   
3.  เจรจาชอบ  
4.  กระทำชอบ  
5. เลี้ยงชีพชอบ  
6.  เพียรชอบ 
7. ระลึกชอบ 
8. ตั้งจิตมั่นชอบ

การดับทุกข์นั้น  ต้องอาศัยการอบรมจิตและปัญญาให้เกิดความรู้ความเข้าใจแท้จริง   จึงจะสามารถช่วยลดความต้องการของตนเองได้และช่วยบรรเทาความทุกข์กายและทุกข์ใจ  ซึ่งข้อปฎิบัติที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ก็คือ  มรรค์มี 8 องค์นั่นเอง

ตัวอย่างการนำเอาอริยสัจ  4  มาใช้ในชีวิตประจำวันซื้อให้ นักเรียนจะแก้ปัญหาอย่างไร
สมุทัย  คือ  นักเรียนอยากได้เสื้อผ้าสวยๆแพงๆ
ทกุข์    คือ   พ่อแม่ไม่มีเงินซื้อให้นักเรียน 
มรรค   คือ   พ่อแม่ชี้แจงเหตุผลให้นักเรียนฟังว่า   เสื้อผ้าราคาแพงๆเกินฐานะของเรา  และเราไม่มีความจำเป็นต้องใช้  ซึ่งนักเรียนก็เข้าใจ 
นิโรธ  คือ   นักเรียนไม่อยากได้เสื้อผ้าแพงๆเหมือนเพื่อนๆอีกแล้ว

อริยสัจ  4 
เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ  มีประโยชน์ต่อเรา ดังนี้
1. ทำให้ไม่ประมาท       คอยเตือนสติให้รู้ว่า  ความทุกข์หรือปัญหาเกิดขึ้นได้เสมอ  การดำรงชีวิตในโลกจึงเป็นการแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา เมื่อแก้ปัญหานั้นได้อาจมีปัญหาใหม่เข้ามีอีก  ทำให้ไม่หลงลืมตัวและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาได้ตลอดเวลา 
2.ช่วยให้แก้ปัญหาต่างๆได้     โดยใช้เหตุผลและปัญญา  คือ  เมื่อมีปัญหาหรอความทุกข์เกิดขึ้นก็ต้องหาสาเหตุว่ามาจากอะไร  จึงสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด  และเป็นการแก้ปัญหาโดยใช้เหตุผลและปัญญา
3. ช่วยให้แก้ปัญหาได้ด้สวยตนเอง  ทั้งนี้เพราะปัญหาหรือความทุกข์ต่างๆเกิดจากตัวเรา  การแก้ปัญหาจึงต้องทำด้วยตนเอง  จะพึ่งอาศัยสิ่งอื่นมาแก้ปัญหาให้ไม่ได้  เพราะตัวเราจะรู้ดีว่าความทุกข์นั้นเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน  และจะรู้ได้ว่าปัญหานั้นสามารถดับไปหรือแก้ไขได้หมดสิ้นไปแล้วหรือไม่
4. ช่วยให้เราเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นความจริง   การที่เราหาทางแก้ปัญหาด้วยการปฎิบัติเอง ลงมือกระทำเอง  จะทำให้เราสมามรถมองเห็นว่าการแก้ปัญหาจะทำได้ยากหรือง่ายเพียงใด  ซึ่งจะทำให้เราหลุดพ้นจากตัณหาและเห็นแสงสว่างแห่งปัญญา  ทำให้ชีวิตมีความสุข

หลักกรรมกรรมเป็นคำกลางๆ  หมายถึง  การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนาคือการกระทำที่ทำด้วยความจงใจ
การกระทำดี   เรียกว่า  กรรมดี
การกระทำชั่ว เรียกว่า   กรรมชั่ว

คำสอนเรื่อง  กรรม เป็นหลักสำคัญประการหนึ่งของพระพุทธศาสนาพระพุทธองค์สอนว่า  กรรมเป็นต้นเหตุของความเป็นไปต่างๆของชีวิต กรรมแบ่งคนทั้งหมดให้ดีหรือชั่วตามคุณและโทษที่เขาได้กระทำใว้   ดังนั้นกรรมหรืการกระทำทุๆอย่างที่แต่ละบุคคลได้ทำเอาไว้  จึงไม่มีวันสูญหายหรือถูกลบไป  บุคคลใดทำกรรมใดไว้จะต้องได้รับผลของการกระทำนั้น  ซึ่งทางพระพุทธศาสนา  
เรียกว่า  กฎแห่งกรรม
          หลักกรรมในพระพุทธศาสนาสอน เน้นเรื่องกรรมที่เป็นปัจจุบันเพราะอดีตเป็นสิ่งที่ล่วงมาแล้ว  เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้  ส่วนอนาคตเป็นผลของปัจจุบันซึ่งยังมาไม่ถึง  ดังนั้น  พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนให้บุคคลใช้ปัญญาพิจารณาการกระทำของตนเองในปัจจุบัน


พระธรรม



พระธรรม
            ความหมายของธรรม ถ้าจะว่ากันแท้จริงแล้ว ชีวิตก็เป็นธรรมะอยู่แล้ว แต่มีธรรมะอีกหลาย ๆ อย่างที่ต้องประกอบกันอยู่ คำว่าธรรมะ มีความหมายประกอบกัน 4 อย่างคือ
1. ตัวธรรมชาติ
2. กฎธรรมชาติ
3. หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ
4. ผลที่เกิดจากหน้าที่
          เมื่อมองตัวเรา เนื้อหนัง ร่างกาย จิตใจของเราที่มีอยู่นี้เรียกว่า “ตัวธรรมชาติ” ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณที่เป็นตัวร่างกายมีชีวิต นี้เรียกว่า ตัวธรรมชาติ
ตัวกฎธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในตัวเรา ในร่างกายของเราที่มันจะเกิดขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เจริญอย่างไร เสื่อมอย่างไร กระทั่ง เราจะต้องทำอย่างไรกับมัน เป็นตัวกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในชีวิตนี้แล้ว
หน้าที่ของเรา ก็คือต้องทำให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์นั้น ๆ เพื่อมีชีวิตอยู่ได้และเพื่อชีวิตเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อชีวิตอยู่ได้มันมีกฎเกณฑ์ทำให้เกิดหน้าที่แก่เรา เช่น เราต้องรับประทานอาหาร ต้องอาบน้ำ ต้องถ่าย ต้องหาปัจจัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย การบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ กระทั่งการคบหาสมาคมกับบุคคลรอบด้านหรือสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา ให้ถูกต้อง นี่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้อยู่รอดได้ ถ้าทำหน้าที่นี้ไม่ถูกต้องมันอาจจะตายหรือเกือบตาย หน้าที่อีกแผนกหนึ่ง ก็คือ จะต้องทำให้เจริญด้วยคุณค่ายิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
การเป็นมนุษย์ คนหนึ่งนั้นหมายความว่า มันต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ถ้าไม่ได้รับสิ่งนี้ มันก็เสียชาติเกิดเพราะว่ามันจะต้องได้เต็มที่ ตามที่มนุษย์อาจจะรับได้ ฉะนั้นจึงเกิดเป็นหน้าที่อีกชั้นหนึ่งว่า เราต้องทำให้ได้รับผลประโยชน์ของความเป็นมนุษย์ให้ถึงที่สุด
หน้าที่ชั้นแรกที่ว่าทำให้รอด หน้าที่อยู่ได้นี้สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น สุนัข แมว กา ไก่ อะไรมันก็ทำเป็นและมันก็ ทำอยู่ตามธรรมชาติ เพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้ ครั้นรอดชีวิตอยู่ได้แล้ว สัตว์เหล่านั้นมันหมดหน้าที่ แต่ว่ามนุษย์ยังไม่หมด คนเราเมื่อรอดชีวิตอยู่ได้แล้ว ต้องทำต่อไปคือ เลื่อนชั้นของชีวิตนั้นเอง ให้มันสูงขึ้น สูงขึ้นไปให้เต็มไปด้วยคุณค่าหรือประโยชน์อย่างสมบูรณ์ ทั้งประโยชน์ที่พึงมีแก่ตนและประโยชน์พึงมีแก่ผู้อื่นหรือทั้งสองฝ่ายร่วมกันก็ได้ ดังนั้นมนุษย์จึงผิดแปลก แตกต่างจากสัตว์ เป็นอันมากในข้อนี้
เมื่อทำหน้าที่ อันนี้ถูกต้อง มันก็เลยได้รับผลของหน้าที่คือ ถ้าทำถูกต้องมันก็ได้รับผลเป็นสุข เต็มไปด้วยประโยชน์ดังที่กล่าวแล้ว ถ้าทำไม่ถูกต้อง มันจะไม่มีประโยชน์คุณค่าอะไร สักว่ามีชีวิตอยู่หรือถ้าทำไม่ถูกต้องยิ่งไปกว่านั้นอีก มันก็เป็นคนที่มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ เจ็บ ๆ ไข้ ๆ หรือตายไปเลยไม่ได้เหลือรอดเป็นชีวิตอยู่ ฉะนั้น การที่เราทำให้สบายดี มีสุขภาพดีแล้วปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้เกิดผลแก่ทุกฝ่ายนั้นแหละเรียกว่าหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ แล้วผลที่เกิดมา อย่างนั้นแหละคือผลที่เกิดจากหน้าที่
หน้าที่เป็น ธรรมะที่สำคัญที่สุด ธรรมะในความหมาย 4 อย่างนั้น อย่างที่ 3 นั่นแหละสำคัญ ที่ทุกท่านกำลังอ่านหรือศึกษาธรรมะอยู่นี้ นั่นก็คือท่านกำลังทำหน้าที่คือความรู้ธรรมะ ความหมายที่ 3 ขอย้ำหรือทบทวนอีกครั้งว่า ธรรมะคือธรรมชาติ เนื้อหนัง ร่างกายเรา ธรรมะคือกฎธรรมชาติ ที่มันควบคุมร่างกายนี้อยู่ให้เป็นตามกฎ ธรรมะ ความหมายที่ 3 คือหน้าที่ สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำให้ถูก ตามกฎของธรรมชาตินั้น ๆ มนุษย์จะต้องประพฤติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ส่วนธรรมะ ในความหมายที่ 4 จะเกิดขึ้นเองถ้ามนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้วย่อมเกิดผลดีนั่นเอง
เรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะคน ต่ำลงไปถึงสัตว์เดรัจฉานก็ต้องทำ แม้แต่ต้นไม้ก็ต้องทำหน้าที่ดำรงชีวิต เหมือนกัน ฉะนั้นต้นไม้ก็มีธรรมะคือหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดว่าต้นไม้มีธรรมะปฏิบัติแต่ขอบอกให้รู้ว่ามันเป็นจริงอย่างนั้นเพราะสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่แล้วก็เรียกว่าธรรมะได้ทั้งนั้น ธรรมะมีความหมาย 4 ประการอย่างนี้ หลายคนเคยได้ยิน ได้ฟังครูสอน ครูบอก ว่า ธรรมะหรือพระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็จบ อันที่จริงแล้วคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นก็คือธรรมะ 4 เรื่องนี้คือ เรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ เรื่องผลที่เกิดจากหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ แต่ถึงอย่างนั้น ความสำคัญก็อยู่ในความหมายที่ 3 ที่ว่าหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ
            ดังนั้น ความหมายที่เราต้องสนใจที่สุดก็คือ ธรรมะ ในความหมายที่ 3 คือธรรมะคือหน้าที่ สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ จึงจะอยู่รอดได้หรือจะเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
           พระธรรม หรือ ธรรม มีเสียงพ้องกับคำว่า ทำ ในภาษาไทย ถ้าข้อความไม่ชัดเจนอาจเติมสระ อะ เป็นธรรมะ แต่จะใช้คำว่า ธรรมะ เฉพาะเมื่อหมายถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ธรรม (ทำ) หรือ ธรรมะ (ทำ-มะ) เป็นคำที่มาจากคำภาษาสันสกฤต ธรรม แปลว่าสิ่งที่แบกไว้ หมายถึงกฎหมาย หน้าที่ ยุติธรรม ความถูกต้อง คุณความดี คุณธรรม ธรรมชาติ เป็นต้น
ในภาษาไทยใช้คำว่า ธรรม หรือ ธรรมะ หมายถึง คำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
เนื้อหาสาระเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนทั้งหมดทั้งสิ่งที่ดีและชั่วเรียกว่า ธรรม หรือ ธรรมะ เช่น ทรงสอนเรื่องอริยสัจ 4 ความจริงอันประเสริฐ ทรงสอนเรื่องไตรลักษณ์ หรือ อนัตตลักขณสูตรสอนเรื่องกิเลส ก็เรียกว่า ทรงสอนธรรมเรื่องกิเลส หรือทรงสอนธรรมะเรื่องกิเลส
            ธรรมหมายถึงการประพฤติที่ดีที่ถูกต้องได้ เช่น ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำสุขมาให้ ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข ใครๆ ก็สรรเสริญการกระทำที่เป็นธรรม
            ธรรม หมายถึง ความยุติธรรม เช่น ถ้าผู้ปกครองประเทศปกครองด้วยความเป็นธรรม ประชาชนก็เป็นสุข
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการแล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาปรารถนาจะให้สัตว์โลกพ้นทุกข์ จึงทรงสั่งสอนเหล่าสาวกและคนทั่วไปด้วยคำสอนต่าง ๆ คำสอนของพระพุทธเจ้านี้เรียกว่า พระธรรม
            พระธรรม คำสอน ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแบ่งออกเป็นสามภาคประกอบด้วย
                           1. ปริยัติธรรม หรือ พระไตรปิฎก
                           2. ปฏิบัติธรรม หรือ ไตรสิกขา
                           3. ปฏิเวธธรรม หรือ โลกุตรธรรม
            พระธรรม คัมภีร์ ของพระพุทธศาสนา หรือ คำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นภาคทฤษฎี เรียกว่า พระไตรปิฎก ประกอบด้วย พระอภิธรรมปิฎก พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก
                           อภิธรรมปิฎก หรือพระอภิธรรม หมายถึง ประมวลพระพุทธพจน์หมวดพระอภิธรรม หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นภาคทฤษฎีบท หลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักคำสอนล้วน ๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตุการณ์ เปรียบเสมือนวิชาวิทยาศาสตร์
                           พระวินัยปิฎก หรือ พระวินัย หมายถึง ประมวลพุทธพจน์หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ เปรียบเสมือนวิชากฎหมาย
                           พระสุตตันตปิฎก หรือ พระสูตร หมายถึง ประมวลพุทธพจน์หมวดพระสูตร คือ พระธรรมเทศนาคำบรรยายธรรมต่างๆ ที่ตรัสยักเยื้องให้เหมาะกับบุคคลและโอกาสตลอดจนบทประพันธ์ เรื่องเล่า และเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้า สอนใคร สอนเรื่องอะไร สอนที่ไหนเปรียบเสมือนวิชาประวัติศาสตร์
            พระธรรม คำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นภาคปฏิบัติ แบ่งออกเป็น 3 ด้านประกอบด้วย
ศีล สมาธิ ปัญญา รวมเรียกว่า ไตรสิกขา
            พระธรรม คำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นผลจากปฏิบัติ แบ่งออกเป็น 3 ด้านประกอบด้วย
มรรค ผล นิพพาน รวมเรียกว่า โลกุตรธรรม
             คำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนานั้นมีสาระสำคัญ 3 ประการ หรือ โอวาท 3
คือ ให้ประพฤติดี ให้ละความชั่ว และทำจิตใจให้ผ่องใส
              นอกจากสาระสำคัญทั้ง 3 ประการนี้ พระพุทธเจ้า ได้ทรงชี้ให้เห็นถึงสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ การดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติตนของพุทธบริษัท 4 เพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏสังสาร วงจรของการเกิดดับ หลุดพ้นจากความทุกข์ต่าง ๆ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป


ทศพิธราชธรรม



ทศพิธราชธรรม
ทศพิธราชธรรม คือธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์ ใช้พระราชอำนาจในการปกครองและการบำเพ็ญประโยชน์ต่ออาณาประชาราษฎร มี 10 ประการ ดังนี้
       1. ทาน
       2. ศีล
       3. ปริจาคะ
       4. อาชชวะ
       5. มัททวะ
       6. ตปะ
       7. อักโกธะ
       8. อวิหิงสา
       9. ขันติ
      10. อวิโรธนะ
1. ทานํ (ทานัง)หรือ การให้ หมายถึง การพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ การสละทรัพย์สินบำรุงเลี้ยงประชาชน หรือ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ การทรงเสียสละพระกำลังในการปกครองแผ่นดิน พระราชดำริอันก่อให้เกิดสติปัญญาและพัฒนาชาติ การพระราชทานเสรีภาพอันเป็นหัวใจในการอยู่ร่วมกันในสังคม การให้นอกเหนือจากการบริจาคเป็นทรัพย์สินหรือสิ่งของแก่ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส และผู้ตกทุกข์ได้ยากตามที่เราทำอยู่เสมอแล้ว เราก็อาจจะให้น้ำใจแก่ผู้อื่นได้ เช่น ให้กำลังใจแก่ผู้ตกอยู่ในห้วงทุกข์ ให้ข้อแนะนำที่เป็นความรู้แก่ผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ให้รอยยิ้ม และปิยวาจาแก่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง รวมถึงบุคคลที่มารับบริการจากเรา
อาจสรุปได้ว่า ทานแบ่งออกเป็น 3 ประเภทประกอบด้วย
              1.1 วัตถุทาน หรือ อามิสทาน คือการให้ปันเป็นวัตถุสิ่งของ ที่เราสามารถจับต้องได้
              1.2 ธรรมทาน หรือ วิทยาทาน คือการให้ความรู้ วิชาการ
              1.3 อภัยทาน หรือ การยกโทษให้ 
2. ศีลํ (สีลัง) คำว่า ศีล แปลว่า ปรกติ หมายถึงการักษากาย วาจา ใจ ให้เป็นปรกติ การตั้งและทรงประพฤติพระราชจรรยานุวัตร พระวรกาย พระวาจา ให้ปราศจากโทษ ทั้งในการปกครอง อันได้แก่ กฎหมายและนิติราชประเพณี และในทางศาสนา อันได้แก่ เบญจศีลมาเสมอ ศีล คือ ความประพฤติที่ดีงาม ตามหลักศาสนา อย่างน้อยก็ขอให้เราได้ปฏิบัติตามศีล ๕
3. ปริจาคํ หรือ การบริจาค คือ การที่ทรงสละความสุขที่มีอยู่เพื่อความสุขของอาณาประชาราษฎร์ เมื่อถึง คราวก็สละได้ แม้พระราชทรัพย์ ตลอดจนพระโลหิต หรือแม้แต่พระชนม์ชีพ เพื่อรักษาธรรมและพระราชอาณาจักรของ พระองค์
ปริจจาคะ หรือ ความเสียสละหมายถึง การเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อความสุขหรือประโยชน์ของส่วนรวม ซึ่งอาจจะเป็นครอบครัว หน่วยงาน หรือเพื่อนร่วมงานของเราก็ได้ การเสียสละไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม ถือเป็นการลดความเห็นแก่ตัว ซึ่งล้วนมีส่วนช่วยให้สังคมดีขึ้นทั้งสิ้น
4. อาชฺชวํ หรือ ความซื่อตรง หมายถึง การที่ทรงซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดำรงอยู่ในสัตย์สุจริต ซื่อตรงต่อมิตรประเทศและอาณาประชาราษฎร ดำเนินชีวิตและปฏิบัติภารกิจ หน้าที่การงานต่างๆ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดคดโกงหรือหลอกลวงผู้อื่น เพราะถ้าทุกคน เอาเปรียบหรือโกงกิน นอกจากจะทำให้หน่วยงานเราไม่เป็นที่น่าเชื่อถือของผู้เกี่ยวข้องแล้ว ในระยะยาว อาจทำให้หน่วยงานเราไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ผู้ที่เดือดร้อนก็คือเรา แม้เราจะได้ทรัพย์สินมามากมาย แต่เงินที่ได้มาก็จะเป็นสิ่งอัปมงคลที่ทำให้เราไม่เจริญก้าวหน้า ถึงแม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่ตัวเราย่อมรู้อยู่แก่ใจ และไม่มีวันจะมีความสุขกาย สบายใจ เพราะกลัวคนอื่นจะมารู้ความลับตลอดเวลา ผู้ที่ประพฤติตนด้วยความซื่อตรง แม้ไม่ร่ำรวยเงินทอง แต่จะมั่งคั่งด้วยความมิตรที่จริงใจ ตายก็ตายตาหลับ ลูกหลานก็ภาคภูมิใจ เพราะไม่ต้องแบกรับความอับอายที่มีบรรพบุรุษได้สร้างไว้
5. มทฺทวํ หรือ มัททะวัง หมายถึง ความสุภาพอ่อนโยน เคารพในเหตุผลที่ควร มีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสและอ่อนโยนต่อบุคคลที่ เสมอกันและต่ำกว่า มีอัธยาศรัยไมตรี กล่าวคือ การทำตัวสุภาพ นุ่มนวล ไม่เย่อหยิ่ง ถือตัว หรือหยาบคายกับใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ ผู้น้อยหรือเพื่อนในระดับเดียวกัน การทำตัวเป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน จะทำให้ไปที่ไหนคนก็ต้อนรับ เพราะอยู่ใกล้แล้วสบายใจ ไม่ร้อนรุ่ม หากเราหยาบคาย ก้าวร้าว คนก็ถอยห่างไม่อยากเข้าใกล้ ดังนั้น หลักธรรมข้อนี้ จึงเป็นการสร้างเสน่ห์อย่างหนึ่งให้แก่ตัวเราด้วย
6. ตปํ หรือตะปังหรือ ตบะหรือ ความเพียร การที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งพระราชอุตสาหะปฏิบัติพระราช กรณียกิจให้เป็นไปด้วยดี โดยปราศจากความเกียจคร้าน
ตปะ หรือ ความเพียร เป็นหลักธรรมที่สอนให้เราไม่ย่อท้อ แต่ให้ปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยความมุมานะ ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนประสบความสำเร็จ ซึ่งความพากเพียรนี้จะทำให้เราภาคภูมิใจเมื่องานสำเร็จ และจะทำให้เรามีประสบการณ์เก่งกล้าขึ้น นอกจากนี้ ยังสอนให้เราสู้ชีวิต ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
7. อกฺโกธํ หรือ อโกธะ การไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ไม่พยายามมุ่งร้ายผู้อื่นแม้จะลงโทษผู้ทำผิดก็ทำตามเหตุผล และสำหรับ พระมหากษัตริย์นั้นต้องทรงมีพระเมตตาไม่ทรงก่อเวรแก่ผู้ใด ไม่ทรงพระพิโรธโดยเหตุที่ไม่ควร และแม้จะทรงพระพิโรธ ก็ทรงข่มเสียให้สงบได้ อักโกธะ คือ ความไม่โกรธแม้ในหลาย ๆ สถานการณ์จะทำได้ยาก แต่หากเราสามารถฝึกฝน ไม่ให้เป็นคนโมโหง่าย และพยายามระงับยับยั้งความโกรธอยู่เสมอ จะเป็นประโยชน์ต่อเราหลายอย่าง เช่น ทำให้เราสุขภาพจิตดี หน้าตาผ่องใส ข้อสำคัญ ทำให้เรารักษามิตรไมตรีกับผู้อื่นไว้ได้
8. อวิหิงสา หรือ อะวีหิสัญจะ หมายถึง การไม่เบียดเบียนหรือบีบคั้นกดขี่ผู้อื่นรวมไปถึง การไม่ใช้อำนาจไปบังคับหรือหาเหตุกลั่นแกล้งคนอื่นด้วย เช่นไม่ไปข่มเหงรังแกผู้ด้อยกว่า ไม่ไปข่มขู่ให้เขากลัวเราหรือไปบีบบังคับเอาของรักของหวงมาจากเขา นอกจากไม่เบียดเบียนคนด้วยกันแล้ว เรายังไม่ควรเบียดเบียนสัตว์ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม อีกด้วย เพราะมิฉะนั้น ผลร้ายจะย้อนกลับมาสู่เรา และสังคม อย่างที่เห็นจากภัยธรรมชาติต่าง ๆ ในปัจจุบัน
9. ขันติ คือ ความอดทน หมายถึง ให้เราอดทนต่อความยากลำบาก ไม่ท้อถอย และไม่หมดกำลังกาย กำลังใจที่จะดำเนินชีวิต และทำหน้าที่การงานต่อไปจนสำเร็จ รวมทั้งไม่ย่อท้อต่อการทำคุณงามความดี ความอดทนจะทำให้เราชนะอุปสรรคทั้งปวงไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ และจะทำให้เราแกร่งขึ้น เข้มแข็งขึ้น การที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชจริยานุวัตร อันอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาพระราชหฤทัย พระวรกาย พระวาจา และพระอาการ ให้เรียบร้อย
10. อวิโรธนํ หรือ อะวิโรธะนัง,อะวิโรธะนะ หมายถึง การไม่ทำผิดครรลองครองธรรม ระเบียบประเพณีอันดีงาม ยึดความยุติธรรม หนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคำพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใด ๆ ทั้งในทางนิติธรรม คือ ระเบียบแบบแผนหลักปกครอง หรือในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม ก็ไม่ประพฤติ ให้ผิดทำนองคลองธรรม กล่าวคือ ให้ทำอะไรด้วยความถูกต้อง มิใช่ด้วยความถูกใจคือ การที่ทรงตั้งอยู่ในขัตติยราชประเพณี ไม่ทรงประพฤติผิดจากพระราชจริยานุวัตร นิติศาสตร์ ราชศาสตร์ ไม่ทรงประพฤติให้คลาดจากความยุติธรรม ทรงอุปถัมภ์ยกย่องคนที่มีความชอบ
จะเห็นได้ว่า หลักธรรมทั้ง 10 ข้อ หรือทศพิธราชธรรม นี้ มิใช่ข้อปฏิบัติที่ยากจนเกินความสามารถของคนธรรมดาสามัญที่จะทำตามได้ หลาย ๆ ข้อก็เป็นสิ่งที่เราปฏิบัติอยู่แล้ว จะโดยรู้ตัวไม่ก็ตาม แต่หากเรามีความตั้งใจจริง หลักธรรมดังกล่าวก็จะเป็นทุนที่ช่วยหนุนนำให้เราได้พัฒนาชีวิตไปสู่ความดีงาม ความมั่นคง และความสำเร็จที่เราปรารถนาทุกประการ